การใช้มัลติมิเตอร์



  1. สเกลสำหรับการอ่านค่า ความต้านทาน
  2. สเกลสำหรับการอ่านค่าแรงไฟที่เป็นทั้งกระแสตรง และกระแสสลับมีค่าตัวเลขระหว่าง0 – 250 
  3. สเกลสำหรับการอ่านค่าไฟกระแสตรงที่สามารถอ่านได้ทั้งค่าที่เป็นลบและเป็นบวก ระหว่าง 0 – (-25) และ 0 – (+25) โวลต์ 
  4. สเกลการอ่านค่าของอัตราการขยายของทรานซิสเตอร์
  5. สเกลสำหรับการอ่านค่าแรงไฟสำหรับการตรวจเช็คแบตเตอรี่ที่ไม่เกิน1.5V
  6. สเกลสำหรับการอ่านค่าของเสียง มีตัวเลขทางบวก ตั้งแต่ 0 –+(10) dB




การวัดแรงดันไฟ
การวัดแรงดันไฟ DC หรือไฟตรง
       มีอยู่ 7 มาตร คือ มาตร DC 0.1V,0.5V,10V,50V,250V และ 1000V การวัดมีหลักการง่ายๆ...อยู่ว่า เมื่อตั้งมาตรวัดไฟ DC ที่มาตรใด สามารถวัดไฟได้ไม่เกินค่าตัวเลขของมาตรนั้น เช่น ตั้งมาตร DCV 10V สามารถวัดไฟได้ไม่เกิน 10V เป็นต้น การวัดไฟที่มีค่าสูงเกินมาตรที่ตั้งไว้จะทำให้มิเตอร์ของเราพังได้ ดังนั้นต้องตั้งมาตรให้สูงกว่าค่าแรงดันไฟที่จะวัดเสมอ ถ้าเราไม่ทราบว่าจุดที่วัดมีแรงดันไฟเท่าไร ก็ให้ตั้งมาตรสูงสุด คือ DCV 1000V ไว้ก่อน เพื่อป้องกันมิเตอร์พัง ถ้าวัดแล้วเข็มไม่ขึ้นหรือขึ้นเพียงเล็กน้อย อ่านค่าได้ไม่สะดวก จึงค่อยเปลี่ยนไปตั้งย่านที่ต่ำกว่าลงมาตามลำดับแล้วทดลองวัดจนสามารถอ่านค่าได้สะดวก

วิธีการวัด
      1.เสียบสายวัดมิเตอร์ให้ถูกต้อง โดยเสียบสายวัดสีแดงที่แจ็ค + และสายวัดสีดำที่แจ็ค com
      2.หมุนปรับสวิทช์ย่านวัด DCV ตั้งย่านให้เหมาะสมและต้องสูงกว่าค่าที่จะวัดเสมอ
      3.การวัดไฟ DC ต้องวัดให้ถูกขั้ว คือ สายวัดสีแดงต้องจับที่ขั้วไฟ + และสายวัดสีดำต้องจับที่ขั้วไฟ ของจุดวัด การวัดผิดขั้วเข็มมิเตอร์ตีกลับจะทำให้มิเตอร์เสียหายได้
      4.การอ่านค่า ถ้าตั้งมาตร 10V ให้อ่านค่าที่สเกลสีดำ ค่าตัวเลข 0-10 เข็มชี้ที่เลขใด ตัวเลขนั้นคือค่าแรงดันไฟของจุดวัด ถ้าตั้งมาตร 50V ดูที่ค่าตัวเลข 0-50 และถ้าตั้งมาตร 250V ดูที่ค่าตัวเลข 0-250 สำหรับมาตร 1000V ดูที่ค่าตัวเลข 0-10 ก็ได้ เพียงแต่เราต้องคูณค่าที่วัดได้ด้วย 100 จึงจะได้ค่าที่แท้จริง การอ่านค่าแบบนี้สามารถประยุกต์ใช้กับมาตรอื่นๆที่ค่าตัวเลขไม่ตรงตัว

การวัดไฟ AC หรือไฟกระแสสลับ
            มีหลักการคล้ายกับการวัดไฟ DC แตกต่างกันตรงที่การวัดไฟ AC ไม่ต้องคำนึงถึงขั้วไฟสลับสายวัดได้เพราะว่าไฟ AC มันไหลได้ทั้งสองทิศทางไม่เหมือนไฟ DC ที่ไหลทิศทางเดียว ในการอ่านค่าให้ดูที่สเกลสีแดง

การซ่อมภาคจ่ายไฟโทรทัศน์สี

การซ่อมภาคจ่ายไฟโทรทัศน์สี
อาการเปิดไม่ติดไม่แสดงอะไรให้เห็นเลย หรืออาจแสดงทาง LED หรือมีเสียงออสซิเลส ช่างเราๆเรียกว่า เปิดไม่ติดนั้นแหละครับ  อาการนี้ส่วนตัวผมชอบเพราะเกือบร้อยเปอรเซ็นเสียที่ภาคจ่ายไฟ ไม่ช้าก็เร็วต้องหาตัวเสียเจอ  แต่สำหรับเพื่อนช่างที่ยังใหม่หรือชั่วโมง บินยังน้อยอาจทำให้เสียเวลา หรืออาจเสียค่าอะไหล่เพิ่มขึ้นทั้งที่ไม่น่าเสีย และที่มากกว่านั้นคือ มิเตอร์ตัวเก่งอาจพังได้เพราะขาดหลักการที่ถูกต้อง...บทความนี้ผมขอเสนอ การซ่อมที่ใช้เวลาให้สั้นลงและปลอดภัยต่อเครื่องมือของเราอุปกรณ์ที่น่าจะมีเพิ่มเติมที่นอกเหนือจากมิเตอร์วัดไฟนั้นคือหลอดไฟ 60W หนึ่งหลอดและ200Wอีกหนึ่งหลอดเนื่องจากการจัดวงจรของทีวีแต่ละรุ่นอาจแตก ต่างกันบ้างก็ขอยกเอาแท่นที่แยกเป็นกราวด์ร้อนกราวด์เย็นมาเสนอเพราะมีจำนวน มากกว่า......มาเริ่มกันเลยครับ
                  1.  เมื่อเครื่องมาถึงมือเราแล้วไม่จำเป็นต้องเปิดไฟเข้า เครื่อง เมื่อเปิดฝาหลังออกมาสัญชาติญาณช่างต้องปล่อยออกมาให้หมดเช่นอุปกรณ์สมบูรณ์ หรือไม่เช่นหายแตกหักไหม้หรือเปล่าและดูสิ่งสกปรกที่เห็นเป็นแบบไหนเพราะถ้า เป็นเขตโรงงานอุตสาหกรรมสาเหตุใหญ่ก็น่าจะมาจากตรงนี้...เรื่องความสะอาด เป็นศาสตร์ขั้นสูงในการซ่อมครับอย่ามองข้าม
                 2. เมื่อพลิก PCB มาด้านตะกั่วให้ดูดีๆว่า มีหลวมมีร่อนหรือไม่ โดยเฉพาะเครื่องที่ยังไม่เคยซ่อมตะกั่วมักไม่ดี ไม่แนะนำให้เปิดไฟเข้าเครื่องถ้าเห็นตะกั่วที่ภาคจ่ายไฟร่อนหลวมอยู่  ตรงนี้ระวังไฟ 300v มักค้าง
                 3. จับมิเตอร์มาพร้อมวัดไฟ ยังไม่เสียบปลักไฟนะครับ ผมจะให้ตรวจสอบว่ามีไฟค้างที่คอนเดนเซอร์ตัวใหญ่ที่สุดหรือไม่ เพราะบางท่านตั้งมิเตอร์โอห์มไปวัดแล้วมิเตอร์พัง ไฟค้างหรือไม่มันบ่งบอกอะไรหลายๆอย่างทำให้เราประเมินว่าน่าจะซ่อมไปทางไหน
                 4. ถ้าไฟค้างให้ใช้หลอดไฟดิสชาร์ทออกให้หมด นั้นแสดงว่าด้านกราวด์ร้อนนี้อาจไม่ชอร์ท จะบอกว่าไม่ชอร์ทแน่ๆก็ต้องไปดูรีซิสเตอร์ค่าต่ำๆขาดหรือเปล่า
                 5. ตรงนี้สำคัญครับ ให้ตั้งมิเตอร์ x1k  สายสีดำวัดขั้วบวกของคอนเดนเซอร์ 300v และสายสีแดงวัดขั้วลบของคอนเดนเซอร์300vเช่นกันแล้วดูผลที่มิเตอร์ ถ้าเข็มตีขึ้นสุดแล้วค่อยๆลงมา นั้นแสดงว่าปลอดภัย ทางด้านกราวด์ร้อนไม่น่าจะมีอุปกรณ์ชอร์ท แต่ไม่ใช่ว่าจะไม่มีตัวอะไรเสียนะครับ เช่นอาจมีรีซิสเตอร์ขาด  Cเสื่อม แต่ชอร์ทน่าจะสบายใจได้
                 6. ถ้าเข็มขึ้นค้างไม่ยอมลงก็ลดมิเตอร์ลงมาเป็นx10 หรือ x1 จะได้รู้ว่าค่าโอห์มจริงๆได้เท่าไหร่ ถ้าวัดได้ไกล้ศูนย์โอหฺมนั้นแสดงว่า มีอุปกรณ์ชอร์ทอยู่ครับ....ตัวที่เสียมีไม่กี่ตัวครับ 90% เป็นไอซีชอร์ทเอง ในกรณีนี้ฟิวส์ต้องขาดดำด้วยหรือรีซิสเตอรืตัวใหญ่โอห์มต่ำต้องขาด
                7. ถ้าวัดได้10 ถึง 100 โอห์มโดยประมาณให้ไปดูพวกซีแดมป์มันมักมีรอยไหม้หรือแตกให้เห็นเลย....แต่จะให้แน่ให้ลอยอุปกรณ์ที่น่าสงสัยทีละตัว เมื่อลอยแล้วการวัดโอหฺ์มเป็นไปในทางที่ดีก็จบ ตัวที่ลอยออกนั้นแหละเสียในกรณีไฟสามร้อยโวล์ทค้างตัวเสียไม่จำเป็นที่จะอยู่ทางด้านกราวด์ร้อนเสมอไป เดี๋ยวนี้ด้านกราวด์เย็นชอรฺ์ทเช่นฮอร์ชอร์ทอยู่ไฟสามร้อยก็ค้างได้เหมือนกัน เจอบ่อยมากๆกับทีวีรุ่นใหม่ๆ
               8. ทางด้านกราวด์เย็นหรือทางฝั่งกราวด์ของไฟบีบวกอยากจะรู้ว่าชอร์ทอยู่หรือไม่ ก็ทำเหมือนกันตามข้อ5-6-7  ถ้าโอห์มต่ำก็ให้ลอยอุปกรณ์ที่อยู่ในลายของบีบวกออกรวมทั้งทรานซิสเตอร์ฮอร์ด้วย ถ้าชอร์ทอยู่ต้องหาให้เจอ ไม่เจอห้ามกินข้าวจะเห็นว่าทั้งหมดที่กล่าวมายังไม่ได้เปิดไฟเข้าเครือ่งเลย ที่สำคัญสุดๆๆๆ อย่าลืมย้ำตะกั่วให้ดีๆอย่าคิดว่าตะกั่วแพงเดี๋ยวเครื่องตีกลับแล้วต้องจ่ายแพงกว่าค่าตะกั่ว
              9. ถ้ามั่นใจทั้งทางด้านกราวดฺ์ร้อนและกราวดฺ์เย็น ก่อนจะเปิดไฟเข้าครื่องขอแนะนำว่าให้ลอยฮอร์ออกก่อน รวมทั้งสายดีเก๊าให้ดึงออกด้วยเพื่อความปลอดภัยหลายอย่าง แล้วให้ถอดฟิวส์ออก จากนั้นนำหลอดไฟ200w มาต่อแทนฟิวส์ ถ้าจอใหญ่กว่า21นิ้วให้เพิ่มหลอดไปอีกหนึ่งหลอด 29นิ้วบางรุ่นอาจใช้ถึงสามหลอด จากนั้นให้นำหลอดไฟ60w มาต่อคร่อมคอนเดนเซอร์บีบวก ถ้าหาไม่เจอก็ให้ต่อขั้วหนึ่งลงกราวด์อีกขั้วต่อที่ขาCของฮอร์ที่ลอยออกไปนั้นแหละแล้วเปิดไฟเข้าเครื่องได้เลย
            10. การเปิดไฟเข้าครั้งแรกสำคัญมากประสาทเราต้องไว คือตาซ้ายดูเข็มมิเตอร์ ตาขวาดูหลอดไฟ หูรอฟังเสียง มือ่ซ้ายเตรียมชักปลั๊กไฟออกมือขวาวัดไฟ ...หลอดไฟ 200w ต้องสว่างไม่เกินสามวินาทีแล้วหรี่ลง ถ้าเราไม่ถอดสายดีเก๊ามันจะสว่างนานขอแนะนำให้ดึงออก ก่อน ถ้าเกินสามวินาทียังสว่างจ้าอยู่แสดงว่าด้านกราวด์ร้อนยังมีปัญหาอยู่ให้ตาม ไปแก้ไข หรือให้เริ่มต้นข้อ 1 ใหม่  ถ้าหลอดไฟ 60w สว่างขึ้นมาแสดงว่าไฟบีบวกออกมาแล้ว จะมากหรือน้อยก็ต้องให้ได้ตามที่สเปคเครื่องกำหนดมา
            11. อันนี้ก็สำคัญ...ว่า หลอดไฟ200w ที่ต่อแทนฟิวส์อยู่ให้ต่อไว้แบบนั้นจนกว่าจะซ่อมเสร็จ มีภาพมีเสียงแล้วค่อยถอดออก
            หวังใจว่าเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆทุกคน คงได้ความรู้เพิ่มเติม ถือว่าเป็นเทคนิคเล็กๆน้อยๆที่ช่างต้องหาใส่ตัวไว้